X

ด่วน! มติเอกฉันท์ศาล รธน. ‘พิธา-ก้าวไกล’ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองสั่งยุติ

กรุงเทพฯ – ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ นโยบายหาเสียงแก้ไข มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง สั่งหยุดการกระทำ แต่ยังไม่ยุบพรรค

วันที่ 31 มกราคม 2567 เวลา 14.15 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ว่า

การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1)และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ก่อนเริ่มอ่านคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญรับคดีไว้พิจารณา เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายทราบดีว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้และการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประการ ศาลได้ให้ผู้ถูกร้องชี้แจง โดยผู้ถูกร้องขอขยายระยะเวลา 2 ครั้ง ศาลได้ดำเนินกระบวนการพิจารณารวม 62 ครั้ง รับฟังความคิดเห็นของนักวิชาการ พยานผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นกลาง 4 ท่าน

นอกจากนี้ ศาลยังได้รับฟังข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการไต่สวนรับฟังข้อมูลรอบด้าน และให้คู่กรณีแถลงปิดคดี เมื่อครบถ้วนจึงได้มีคำวินิจฉัย

โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 25 มีนาคม2564 และใช้การแก้ไขมาตรา 112 รณรงค์หาเสียง เป็นนโยบายพรรค

“เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

โดยเห็นว่า มาตรา 112 แม้เป็นประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็มีศักดิ์ทางกฎหมายในเรื่องของความมั่นคงแห่งรัฐ การแก้ไขเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ต้องคุ้มครองความมั่นคงราชอาณาจักร และการกระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นการกระทำผิดต่อความมั่นคงต่อรัฐด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายต้องการให้ไม่มีความสำคัญ และไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อความมั่นคงต่อประเทศ มุ่งหมายแยกสถาบันกษัตริย์ และความเป็นชาติไทยออกจากกัน กระทบความมั่นคงของรัฐ อย่างมีความสำคัญ

นอกจากนี้ การที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียง เป็นการใช้นโยบายทางการเมือง เป็นการดึงสถาบันลงมา หวังผลชนะการเลือกตั้ง ให้สถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง กลายเป็นฝ่ายรณรงค์ทางการเมือง ไม่คำนึงหลักการสำคัญในการปกครอง ที่สถาบันอยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลาย สถาบันกษัตริย์ ให้เสื่อมทรามลง

การใช้เสรีภาพต้องไม่ขัดศีลธรรมอันดี ต้องสอดคล้องกับสิทธิของบุคคลทางการเมืองไม่กระทบความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย และไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของคนอื่น

เมื่อฟังได้ว่ามีการเรียกร้องให้ทำลายการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระหากษัตริย์เป็นประมุข ผ่านการซ่อนเร้นการแก้ไขมาตรา 112 มีกระบวนการหลายช่วงติดต่อกัน หากปล่อยให้กระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง วรรค 1 ให้เลิกการกระทำ

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง 

และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 74

อย่างไรก็ตาม ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ อาจทำให้มีผู้นำไปยื่นร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อเอาผิดพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 92(2) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่ง ซึ่งจะทำให้ กกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลได้

รวมถึงสามารถนำไปยื่นต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดนายพิธา และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ฐานกระทำผิดมาตรฐานจริยธรรมได้ด้วย

ล่าสุด วันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.67) เวลา 10.00 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักเคลื่อนไหว จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึง กกต. ขอให้ยุบพรรคก้าวไกล

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of ลักขณา สุริยงค์

ลักขณา สุริยงค์

ทำหน้าที่สื่อมวลชนมาเกือบ 30 ปี ทั้งงานสายข่าวและจัดรายการทีวี-วิทยุมานับไม่ถ้วน "ไม่เป็นกลาง แต่เป็นธรรม พร้อมนำเสนอความจริง"