X

(คลิป)ลุงวัย 70 สุดทน! ร้องรมว.ทส.เข้าทำประโยชน์ที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่ได้ เหตุอช.เจ้าไหมไม่ให้ผ่านทาง แม้ศาลปกครองพิพากษาแล้ว

ตรัง-ลุงวัย 70 สุดทน! ร้องรมว.ทส. เข้าทำประโยชน์ที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่ได้ เหตุอุทยานฯเจ้าไหมไม่ให้ผ่านทาง แม้ศาลปกครองพิพากษาแล้ว เป็นที่ดินโดยชอบ เปิดทางเข้าเป็นทางสาธารณะ ฮึดสู้คดีเก่า ยื่นฟื้นคดี หลังถูกจนท.เล่นงานจนต้องติดคุก 1 ปี เชื่อไม่ผิดรุกป่า ฝ่ายจนท. ลั่น ยึดจิตสำนึกปกป้องธรรมชาติ มากกว่าคำพิพากษา

ที่จังหวัดตรัง นายชาญวิทย์ ธนาสุวเศรษฐ์ (ชื่อเดิม นายชาญ ศิริศุภนนท์) อายุ 70 ปี ชาวบ้าน ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง นำเอกสารคำพิพากษาศาลเกี่ยวกับที่ดิน เนื้อที่ 57 ไร่ อยู่ในพื้นที่ ม.6 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง และคำพิพากษาศาลปกครองคุ้มครองการใช้ถนนสาธารณะ ตั้งแต่ทางแยกสายบางสัก-หาดยาว แยกขวาแยกขวาเข้าไปยังหาดหยงหลิง-หาดสั้น ความยาว 2.4 กิโลเมตร และมีทางแยกไปถึงที่ดินของนายชาญวิทย์ ระยะ 1.5 กิโลเมตร เข้าร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน พร้อมทำหนังสือถึงนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมอนุญาตให้ตนและคนงาน นำรถจักรกลการเกษตรเข้าไปในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ว่าที่ดินเนื้อที่ 57 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ช่วงหาดหยงหลิง นั้นไม่มีเนื้อที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยาน และ พื้นที่ป่าไม้ ตามที่ฝ่ายอุทยานฯเคยเข้าจับกุมตัวนายชาญวิทย์ส่งดำเนินคดี และต้องทำให้ตัวเองติดคุกนานถึง 1 ปี ตามคำพิพากษาศาลในอดีต โดยก่อนหน้านี้นายชาญวิทย์ ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วจำนวน 2 ฉบับ

นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ตนครอบครองที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่ปี 2533 หรือเมื่อ 32 ปีแล้ว เป็นการซื้อต่อจากญาติที่แบ่งขายให้กับตน และตนเข้าไปทำประโยชน์ แต่ก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยาน ดำเนินคดีกับตน และ ตนได้ต่อสู้คดีมามาอย่างต่อเนื่อง โดยต่อสู้คดี ที่ศาลจังหวัดตรังมาตั้งแต่ปี 2547-2550 ตามคดีหมายเลขดำ ที่ 2496/2546 และ คดีหมายเลขแดงที่ 2206/2547 และ ในศาลอุทธรณ์ ภาค 9 เมื่อปี 2550 ตามคดีหมายเลขดำที่ 2044/2547 และคดีหมายเลขแดงที่ 855/2550 ในความผิดต่อพ.ร.บ.ป่าสงวนฯ , ความผิดต่อพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และพ.ร.บ.ป่าไม้ โดยศาลพิพากษาว่า “แม้ผู้ครอบครองที่ดินจะมิได้แจ้งสิทธิ ตามพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 ก็ตาม ผู้ครอบครองที่ดินก็ไม่เสียสิทธิ์การครอบครองที่ดินที่มีอยู่ก่อนดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะความมุ่งหมายของกฎหมายดังกล่าว ประสงค์ให้รัฐได้ทราบว่ามีผู้ใด เป็นผู้ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนแล้วบ้างเท่านั้น ดังนั้นตนรับซื้อที่ดินพิพาทมา ย่อมได้ทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของผู้ขายเป็นลำดับชั้นไป ที่ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวน ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 นั้น ไม่ต้องด้วย ความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นด้วยในเหตุผลอุทธรณ์ของตน ว่าตนไม่ผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ ไม่ผิด พ.ร.บ.อุทยาน และ ไม่ผิด พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ

นายชาญวิทย์กล่าวต่อว่า หลังจากชนะคดี ตนได้ฟ้องเพ่งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เรื่องทางสาธารณะเพื่อเข้าทำประโยชน์ที่ดิน บนถนนสายบางสัก-หาดยาว แยกขวาเข้าไปยังหาดหยงหลิง-หาดสั้น ความยาว 2.4 กิโลเมตร และมีทางแยกซึ่งเป็นทางสาธารณะ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ไปจนถึงบ้านตาเป๊ะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินที่ตนทำประโยชน์อยู่ โดยถนนมีความกว้าง 7 เมตร ตลอดทั้งสาย ต่อมา ปี 2556 สมัยที่นายมาโนช วงษ์สุรีย์รัตน์ เป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ดำเนิน คดีกับตน ในข้อหารุกพื้นที่ป่าถาวร จำนวน 8 ไร่ และ ป่าธรรมดา จำนวน 10 ไร่ ปรากฏว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ตนแพ้คดีและติดคุกเป็นเวลา 1 ปี (ก.ย.60 – ก.ย.61) และเมื่อตนพ้นโทษ ตนได้ยื่นขอรื้อฟื้นคดีอยู่ขณะนี้ ตามพ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง โดยระหว่างที่ต่อสู้คดีระหว่างปี 2556-2560 ได้มีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ระบุว่าทางซึ่งไปถึงที่ดินของตนนั้นเป็นทางสาธารณะ และศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษาให้อุทยานแห่งชาติฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้กับตนอีกด้วย

“แต่ตั้งปี 2561 ที่ผมพ้นโทษ ผมพยายามเข้าไปทำประโยชน์ แต่เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า ที่ดินไม่มีเอกสาร อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมไม่สามารถอนุญาต ให้ผมนำรถจักรกลการเกษตรเข้าไปในที่ดินของตัวเองได้ ทั้งที่คำสั่งศาลปกครองระบุไว้ชัดเจนแล้ว”นายชาญวิทย์ระบุ

นายชาญวิทย์กล่าวอีกว่า ต่อมา ปี 2562 ตนได้ไปยื่นขอเอกสารสิทธิ ที่ดินเนื้อที่ 57 ไร่นี้ ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง โดยอาศัยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 9 แต่สำนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง ให้เหตุผลว่า ที่ดินของตนไม่ได้ทำประโยชน์ตามสภาพของท้องถิ่น และไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎกระทรวง 43 ข้อ 14 ตนจึงส่งเรื่องขอออกโฉนดไปยังศาลปกครอง สงขลา โดยหลังคำพิพากษาเรื่องที่ดินสิ้นสุดลงเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ตนก็ได้พยายามนำเครื่องจักรกลเพื่อการเกษตรเข้าไปในที่ดิน แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯก็ยังขัดขวาง ห้ามไม่ให้เข้า หากเข้าไปจะดำเนินการจับกุม จนคนงานและคนขับรถไม่กล้านำรถเข้าไป

“ปีนี้ผมก็ได้จัดรถเข้าไปเพื่อดำเนินการทำประโยชน์อีก แต่ก็ยังถูกห้าม ทั้งที่การนำเครื่องจักรกลของผมเข้าไปนั้นเป็นการขับขี่บนเส้นทางสาธารณะ ไม่ได้เข้าไปในที่ดินของอุทยาน ทั้งนี้หากเทียบกับตอนนี้จะเห็นได้ว่าในพื้นที่อุทยานฯเอง มีการนำรถจักรกลเข้าไปปรับพื้นที่บริเวณอุทยานฯ บริเวณหน้าหาดหยงหลิง ซึ่งเป็นการใช้ถนนสาธารณะเช่นเดียวกับที่ผมจะนำรถจักรกลเข้าไปในที่ดินที่ตนครอบครองอยู่ ผมจึงติดใจว่าเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายหรือมาตรฐานใดมาตัดสิน เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ อยากเรียนไปถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงทส. ไม่ว่าจะเป็นนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีทส. อธิบดีอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม อยากให้ทางผู้ใหญ่ให้ความกระจ่างชัดว่า เหตุผลใดที่สั่งห้าม และให้ชี้แจงเป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงด้วย ซึ่งตอนนี้คำพิพากษาศาลสิ้นสุดแล้ว ว่าผมไม่มีความผิด แต่ก็ยังโดนขัดขวางจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ”นายชาญวิทย์กล่าว

นายชาญวิทย์กล่าวด้วยว่า สำหรับที่ดินแปลงนี้ตนได้เข้าทำไปทำประโยชน์ เช่นเมื่อปี 2536 ได้ปลูกมะพร้าวจนเต็มพื้นที่ แต่ไฟไหม้ ทำให้ต้นมะพร้าวเสียหายและตาย ต่อมาปี 2544 ได้ปลูกปาล์มน้ำมัน แต่ด้วยความที่ตนต้องขึ้นศาลอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ได้ดูแลสวนปาล์ม และกล้าต้นปาล์มน้ำมันโดนหนูกัดกินโคนต้น จนเป็นเหตุให้ต้นปาล์มน้ำมันตายยกแปลง ในขณะที่ที่ดินแปลงข้างเคียงติดกับของตน เป็นของในเครือญาติ มีการทำประโยชน์ด้วยการปลูกมะพร้าว ปลูกปาล์มน้ำมัน และปลูกต้นไผ่ และมีการสร้างบ้านพักอาศัย รวมทั้งโรงเรือน ซึ่งที่ดินที่จุดที่ตนยืนอยู่นั้นก็ซื้อมาจากญาติเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา นายชาญวิทย์ ได้พยายามนำรถจักรกลการเกษตรเข้าไปปรับพื้นที่ในที่ดินกรรมสิทธิ์อีกครั้ง แต่เมื่อถึงด่านอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานสั่งห้าม โดยมีนายชุติพงศ์ พลวัฒน์ รองหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยาน และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เข้าเจรจาและห้ามนายชาญวิทย์นำรถจักรกลเข้าไป

นายชุติพงศ์ พลวัฒน์ รองหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม กล่าวว่า ตนทราบเกี่ยวกับเรื่องฟ้องร้องการต่อสู้ในคดีในชั้นศาลระหว่างนาย ชาญวิทย์ เกี่ยวกับถนนสาธารณะที่ผ่านอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งอุทยานได้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาล คือ ห้ามมีไม้กั้น สามารถสัญจรได้ตามปกติ แต่ในกรณีที่นายชาญวิทย์ ได้นำเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามานั้น เป็นข้อห้ามและผิดระเบียบ ของอุทยานฯที่นำเครื่องจักรกลเข้าไปในพื้นที่ และเพื่อป้องกันการทำลายทรัพยากรป่าไม้ และด้วยอำนาจหน้าที่ ภารกิจของผู้พิทักษ์ป่า ในการดูแลรักษาทรัพยากร แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่ด้านใน อาจจะไม่ใช่พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม แต่ด้วยภารกิจไม่สามารถให้เข้าไปได้ ส่วนการที่นายชาญวิทย์ได้แจ้งมาแล้วว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินเอกสาร สค.3 เพื่อจะขอแจ้งสิทธิออก สค.1 ในส่วนของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมจะร่วมกับกรมป่าไม้ เข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและนำค่าพิกัดไปขึ้นรูปแปลงว่าพื้นที่ดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในเขตระยะกั้น ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ หรือไม่ได้อยู่ในเขตป่าชายเลน โดยขั้นตอนต่างๆจะเร่งดำเนินการ ผ่านสำนักงานสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5(นครศรีธรรมราช) ก่อนจะนำเรื่องถึงกรมอุทยานฯ เพื่อหาข้อสรุปและชี้แจงต่อสื่อมวลชนและประชาชนที่ติดตามข่าวสาร

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำพิพากษาของศาลปกครอง มีผลต่อภารกิจการทำงานของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายชุติพงศ์ ตอบว่า “ผมมองด้วยจิตวิญญาณและจิตใต้สำนึกของเจ้าหน้าที่ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ถือว่าไม่มีผล แต่มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เนื่องจากสภาพจิตใจ เพราะทุกคนทำงานเหน็ดเหนื่อย ต้องออกพื้นที่ทางทะเล และป่า แต่ด้วยภารกิจต่าง ๆ ที่เจอทำให้ มีการท้อบ้าง แต่ทุกคนยังสู้เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรฯ”

 

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน