ตรัง-ที่ปรึกษากมธ.-สุราชุมชนตรัง เฮ! สภาฯผ่านร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต วอนสว.ผ่านร่างต่อ ชี้ปลดแอกสุราชุมชน ปลดล็อกเหล้าขาว เปิดทางสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์โชว์นักท่องเที่ยว หวังกระตุ้นศก.รากหญ้า-เกษตรกร-ท่องเที่ยวไฮซีซั่นส์ เปิดประตูการแข่งขันคุณภาพ เชื่อภูมิปัญญาไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก วอนรบ.หนุนผ่อนคลายภาษี-ลดต้นทุนการผลิต-เปิดช่องทางโฆษณา-วางจำหน่าย ช่วยกันควบคุมผลกระทบจากนักดื่ม บังคับกม.ให้เข้ม
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ที่จ.ตรัง นายประสิทธิ์ สำนักเหยา ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต(ฉบับที่…)พ.ศ…. สภาผู้แทนราษฎร และผู้ประกอบการสุราชุมชนแบรนด์ดังจ.ตรัง ยอดข้าวสุราทิพย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ… ด้วยมติเอกฉันท์ 414 เสียง ซึ่งหลังจากนี้จะส่งให้ สมาชิกวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขต่อหากวุฒิสภาเห็นชอบตามร่างของ สส. ก็จะบังคับใช้และมีผลให้กรมสรรพสามิตออกกฎกระทรวงมาเเก้ไขภายใน 180 วัน ถือเป็นการปลดล็อกสุราชุมชนให้สามารถขออนุญาตผลิตสุราได้ทุกประเภท จากเดิมกฎหมายควบคุมชุมชนและกลุ่มเกษตรกรผลิตได้เพียงสุรากลั่นหรือเหล้าขาว รวมถึง สาโท สุราแช่ เท่านั้น ว่า เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญ ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับสุราชุมชน เพราะเดิมที่กฎหมายให้สุราชุมชนเป็นเพียงกลุ่มที่ผลิตเฉพาะสุรากลั่นหรือสุราขาว หรือที่เรียกกันว่าเหล้าขาว ถือเป็นการผลิตในวงแคบ ซึ่งไม่สามารถปรับปรุงดัดแปลงเติมแต่งรสชาติใหม่ๆเป็นสุราประเภทต่างๆให้ทันกับยุคและกลุ่มผู้บริโภคได้ การปลดล็อกในครั้งนี้ถือเป็นข้อดีคือ 1.เป็นการเริ่มเปิดไอเดียความคิดที่สร้างสรรค์ให้คนรุ่นใหม่ได้นำเสนอ ทั้งรสชาติ รูปแบบ ยกตัวอย่างในต่างประเทศ กลุ่มเกษตรกร ชาวบ้าน สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่มาจากพืชผลการเกษตรของชุมชนเหล่านั้นได้ เช่นเราไปเที่ยวญี่ปุ่น เขามีสินค้าเกษตรกร เช่น บ๊วย ลูกพลัม ก็เอามาทำเหล้าบ๊วย รวมถึงสร้างสรรค์ดัดแปลงทั้งเป็นสุราดีกรีสูง ดีกรีต่ำ หลากหลายรสชาติ แต่ละเมืองก็จะมีผลิตภัณฑ์ประจำเมือง เช่นเมืองซับโปโร ก็มีเหล้าบ๊วยซับโปโร สาเกซับโปโร จนกลายเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องซื้อหามา
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเทศจีนก็จะมีสุราเหมาไถ่อันเลื่องชื่อ ใครไปเมืองจีนก็ต้องซื้อกลับมา มีข้อมูลว่าในบรรดาเครื่องดื่มของโลก ที่ขายดีที่สุดคือน้ำอัดลมแบรนด์ดังคือ โคคาโคล่า ส่วนที่รองลงมาคือสุราเหมาไถ่ ที่คนทั่วโลกนิยมซื้อหามาเป็นของฝาก โดยสนนราคาเทียบกับเงินไทยถึงขวดละ 7-8 พันบาทกันเลยทีเดียว หากปลดล็อกในส่วนนี้ได้ สุราชุมชนไทยก็จะมีการยกระดับพัฒนา ทั้งเชิงความคิดสร้างสรรค์ และการแข่งชันกันพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับเพื่อสร้างโอกาสในการขาย
“อยากฝากไปยังการพิจารณาในชั้นวุฒิสภา ฝากไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ต่างๆ ให้เห็นความสำคัญตรงนี้ รอบนี้ผมถือว่าเป็นปลดแอกในก้าวแรก คือการปลดล็อกเหล้าขาว ให้เราสามารถสร้างสรรค์สุราได้หลากหลายประเภทมากขึ้น ให้ชุมชนคนตัวเล็ก ให้เกษตรกรได้มีโอกาส ได้สร้างสรรค์สื่อสารภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่คนไทยรุ่นก่อนๆได้ทำเอาไว้ ผมเชื่อว่าสุราไทยถ้าตั้งใจทำ รักษาคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น สุราชาว วิสกี้ บรั่นดี ไวน์ และอื่นๆ เราไม่แพ้ชาติใดในโลก สิ่งเหล่านี้จะกลับมาเป็นมูลค่าการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศ ตั้งแต่รากหญ้าชุมชน เกษตรกรเจ้าของวัตถุดิบ กลุ่มผู้ผลิตสุราชุมชน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว เพราะชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นส์นี้ ต่างก็ถามหาสุราไทย เบียร์ไทย เบียร์คราฟท์ เพราะเขาอยากมาลิ้มลอง เช่นที่กระบี่ ภูเก็ต สุราชุมชน ขายดีมาก ฝรั่งจะถามหาตลอด การปลดล็อกตรงนี้ให้ทุกคนได้แข่งขัน ร่วมกันพัฒนาคุณภาพ”นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปลดล็อกในขั้นต้นให้สุราชุมชนสามารถขออนุญาตผลิตสุราได้ทุกประเภทแล้ว หากผ่านการพิจารณาของสว. และมีการออกกฎกระทรวงมาบังคับใช้ ก็ต้องติดตามาในรายละเอียดว่า มีขั้นตอนการปฏิบัติ การควบคุมอย่างไร ที่ผ่านมาสุราชุมชนคือคนตัวเล็ก แม้จะผลิตได้ แต่ขายยากมาก ช่องทางทางการตลาดมีจำกัด อาทิ เบียร์คราฟท์ก็ให้ขายได้เฉพาะพื้นที่ที่ผลิต ส่วนสุราชุมชน กำลังการผลิตเราน้อยอยู่แล้ว การจะได้ไปวางในห้างค้าปลีกหรือโมเดิร์นเทรดใหญ่ๆนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ไม่รวมถึงการเปิดโอกาสให้มีการโฆษณา ที่สำคัญโอกาสในการแข่งขันกับทุนใหญ่ เจ้าใหญ่ๆ ที่เขามีข้อได้เปรียบ ทั้งเรื่องต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า ส่งผลต่อราคาขายที่ถูกกว่าสินค้าจากชุมชน เพราะเราเจอทั้งเรื่องภาษี ที่ต้องซื้ออากรแสตมป์มาแปะทุกขวด ต้นทุนวัตถุดิบ ขวด แพ็กเกจจิ้งต่างๆที่เราซื้อมาจำนวนน้อย จึงมีราคาแพง ทำให้ราคาขายปลีกของสุราชุมชนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินค้าจากเจ้าใหญ่ จึงอยากฝากให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมสนับสนุน ลดต้นทุนในส่วนนี้เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนสามารถขยายช่องทางทางการตลาดได้ ที่สำคัญคือการผ่อนปรนข้อกำหนด ทั้งเรื่องแรงม้าเครื่องจักรในการผลิต โดยเฉพาะปริมาณขั้นต่ำในการผลิตต่อวันทีกฎหมายล็อกไว้ เช่น เบียร์จากเดิมกำหนดไม่ต่ำกว่าวันละ 30,000 ลิตร ก็ได้ปรับลดลงมาแล้วบางส่วน และหวังว่าจะมีการปรับลดลงมาอีก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชุมชนคนตัวเล็กแต่ละรายจะผลิตได้วันละนับหมื่นลิตร และต่อให้ผลิตได้ แล้วจะเอาไปขายใคร ขายที่ไหน นี่คือกฎหมายที่ล็อกเราเอาไว้มายาวนาน
“ผมเชื่อว่า การที่เราได้ปลดแอก ปลดล็อกเหล้าขาวในวันนี้ เป็นก้าวแรก เป็นนิมิตหมายที่ดี เพระเราทุกคน เกษตรกร ชุมชน อยากทำของดี เมื่อเปิดกว้าง ก็มีการแข่งขัน มีการพัฒนาคุณภาพ ผมเชื่อว่าคนไทยมีฝีมือแพ้ชาติใดในโลก อยากให้มองว่าการทำสุรามันคือศิลปะ เป็นศาสตร์แห่งภูมิปัญญา แน่นอนสุราก็เหมือนเหรียญสองด้าน ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือที่ผมพุดมาทั้งหมด ส่วนข้อเสียเชื่อว่าสังคมช่วยกันควบคุมดูแลได้ ถ้าเรามีความจริงจัง ในต่างประเทศ คนที่เมาแล้วขับ โทษรุนแรงมาก ในประเทศจีน ตัดใบขับขี่ตลอดชีวิต มีโทษทั้งแพ่ง อาญา และเอาเข้าจริงสัดส่วนการตลาดของสุราชชุมชน ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสุราในท้องตลาดปัจจุบัน เราแทบจะไม่มีมีส่วนแบ่งทางการตลาดเลย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยมาก”นายประสิทธิ์กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: